วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

พนมเปญ...กับความทรงจำที่ ( อยาก ) ลืม



                     กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ที่นี่อาจจะไม่ได้เป็นเมืองที่เป็น Dream destinations ของใครหลายๆคน สำหรับบางคนที่นี่เป็นเเค่เมืองทางผ่าน เเวะเยี่ยว แวะเข้าห้องน้ำ รอรถเพื่อมุ่งหน้าไปโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนามต่อไป  เเต่ถ้าหากหาข้อมูลดีๆ เเล้วที่นี่เป็นเมืองที่น่าสนใจมากเมืองหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้

กรุงพนมเปญ เป็นอีกเมืองหนึ่งในโลกที่ฉันมีความฝันว่า ฉันอยากไปเยือนสักครั้งในชีวิต ที่นี่ไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเหมือนหลายๆเมืองในอาเซียน แต่ฉันมาที่นี่ เพราะที่นี่มีประวัติศาสตาร์การฆ่าล้างเผาพันธุ์ที่หดหู่ สยดสยองที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

Flight No. FD 606 วันที่ 21 ตุลา 2015 บินจากท่าอากาศยานดอนเมืองปลายทางสนามบินแห่งชาติกรุงพนมเปญ  ในสมุดบันทึกของฉันเขียนความรู้สึกที่มีต่อเมืองเเห่งนี้ ก่อนที่ฉันจะไปว่า ที่นี่ก็คงเป็นเมืองหลวงเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีบ้านเรือนผู้คนเบาบาง ปะปราย ตึกสูงไม่เยอะเหมือนเมืองที่ฉันจากมา เเต่เมื่อเครื่องบินบินผ่านน่านฟ้าของกรุงพนมเปญ ฉันกลับพบว่าสิ่งที่ฉันคิดและเขียนลงไปในสมุดนั้น ฉันคิดผิด!!  พนมเปญปัจจุบันเป็นเมืองที่ค่อนข้างวุ่นวายมาก บ้านเรือน ตึกสูง สถานที่ราชการ ธนาคารต่างชาติ โชว์รูมรถหรู มีให้เห็นเยอะเเยะเต็มไปหมด  




บนเครื่องบินฉันได้นั่งติดกับนักธุรกิจชาวพนมเปญท่านหนึ่ง อายุราวๆสี่สิบ ใส่เเว่นดูท่าทางใจดี ภายนอกตอนแรกก็คิดว่าเป็นคนไทย ตลอดระยะเวลาชั่วโมงกว่าๆ ทั้งฉันเเละเขาก็ไม่ได้คุยอะไร ต่างคนต่างเงียบ 

 เวลาผ่านไป จนกัปตันบนเครื่องประกาศว่า ตอนนี้เราได้ถึงน่านฟ้าของกรุงพนมเปญเเล้ว อากาศข้างนอกเเจ่มใส ไม่มีฝน ทัศนวิสัยดี กัปตันใช้เวลาอีกสักพักบินวนรอบเมืองพนมเปญ ฉันได้แต่นั่งมองดูวิวไปเรื่อยเปื่อย จนคนข้างๆถามว่า...

เขา :  ทำไมคุณถึงมาพนมเปญ? ทำไมไม่ไปเสียมเรียบ ที่นั้นมีอะไรให้ดูมากกว่าที่นี่เยอะเลย  ??

ฉัน : *ยิ้มแห้งๆ*  และตอบเขาไปว่า ฉันไปเสียมเรียบมาเเล้วแหละเมื่อปีที่เเล้ว ที่นั้นมันยิ่งใหญ่และสวยมากๆ เลยเนาะ ส่วนครั้งนี้ฉันตั้งใจจะมาเที่ยว Killing field กับ ตวง เเสลง :)
เขา : เขาทำหน้างงๆ เล็กน้อย  ไม่ได้พูดอะไรต่อ พร้อมบอกกับฉันว่า มีอะไรติดต่อเขาได้เลยนะ บ้านเขาอยู่ในเมืองพนมเปญนี่เเหละ หากต้องการความช่วยเหลืออะไร ติดต่อมาได้เลย พร้อมหยิบปากกา เขียนเบอร์และที่อยู่ของเขาให้ฉัน และทิ้งท้ายว่า ที่นั้นมันหดหู่มากๆเลยนะ ผมไม่เเน่ใจว่าถ้าคุณไปที่นั้นเเล้ว คุณจะมีเเรงไปที่ไหนอีก เพราะคุณจะหมดเเรงและหัวของคุณจะหนักๆเหมือนโดนอะไรทุบ So, Welcome to Phanom Phen and hope to enjoy :)

เขาอวยพรและเราสองคนก็แยกย้ายกันไปตามทางของเเต่ละคน


บางครั้ง บางคน กับบางช่วงเวลา การพบกันเพียงครั้งเดียวมันก็อาจจะเพียงพอเเล้วกับที่จะจดจำไปชั่วชีวิต...


.............................................


หลังจากที่ลงเครื่องและจัดหาที่พักอะไรเสร็จเรียบร้อย จึงนัดเเนะกับทาง Hostel ให้จัดการหารถตุ๊กๆ ในวันรุ่งขึ้นเพื่อพาฉันไป Killing field และคุก ตวล แสลง.... 

ในหนังสือเเนะนำเที่ยวบอกว่าสองสถานที่นี้อยู่ไกลกันมาก คุณสามารถขับรถไปเองและหาตุ๊กๆท้องที่ไป แน่นอนฉันเลือกอย่างหลังเพราะฉันไม่อยากขับรถ อีกทั้งประกันการเดินทางของฉันไม่คลอบคลุมประเทศกัมพูชา --"




ก่อนหน้าฉันจะมาเที่ยวที่นี่ได้อาทิตย์หนึ่ง ฉันได้ทำการบ้านเเละอ่านหนังสือ  4 ปี นรกในเขมร ของสำนักพิมพ์ ผีเสื้อ  เป็นหนังสือที่เขียนขึ้่นจากประสบการณ์จริง ที่บันทึกช่วงเวลาที่ทรมานตลอดสี่ปีในการเอาตัวรอดในเขมร  การสูญเสียคนที่รัก การเห็นบ้านเมืองที่กลายเป็นนรกบนดิน   ของยาสึโกะ นะอิโต ชาวญี่ปุ่นซึ่งไปได้สามีชาวเขมรผู้ซึ่งเคยเป็นฑูต  ในหนังสือเราต้องใช้ความพยายยามในการจินตนาการอย่างสูงมากในการคิดตามเรื่องราวที่ผู้หญิงคนนี้เล่าให้ฟัง เพราะเราจะมีความรู้สึกค้านในใจตลอดเวลา ว่า เฮ้ยย... มันใช่เหรอ? มันทำอย่างนี้จริงๆเหรอ? เพราะเรื่องราวเหล่านั้นคือการกระทำที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันอย่างทารุณ จนเราคิดไม่ถึงเลยว่าสิ่งเหล่านั้นมันคือเรื่องจริง เคยเกิดขึ้นจริงๆ บนโลกใบนี้ และใกล้ประเทศไทยเเค่ปลายจมูก  

โลกทุกวันนี้มีความโหดร้ายมากขึ้น การเจริญทางวัถตุมันไม่ได้เป็นตัวแปรเลยว่า ความเจริญทางจิตใจของมนุษย์มันจะมีมากขึ้นตาม มนุษย์ยังมีการแก่งเเย่งชิงดี ชิงเด่น จนทำให้มนุษย์มีจิตใจที่หยาบกระด้าง ชินชา ไม่มีใครนึกถึงศิลธรรมจรรยาที่มนุษย์ควรกระทำต่อมนุษย์ที่คิดต่าง จนมนุษย์ต้องมีประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ขึ้นมา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อต้องการให้เผ่าของตัวเองเหนือกว่าอีกเผ่าหนึ่งเเค่นั้นเฉกเช่นในอดีต


จากประวัติศาสตาร์การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ถ้าให้จัดอันดับความโหดร้ายเเล้ว ฉันไม่สามารถเอาอะไรมาวัดได้ว่าครั้งไหนรุ่นแรงที่สุด ทุกที่ล้วนมีคนล้มตาย เด็ก ผู้หญิง คนแก่ มีตายด้วยกันทุกที่ บนโลกมนุษย์ตั้งเเต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มากมายที่เกิดขึ้น อาทิ ในรวันดา แอฟริกา อินเดียนแดงในอเมริกา ชาวยิวในเยรมัน ล้วนโหดร้ายด้วยกันทั้งสิ้น

......................

 เกร็ดความรู้ เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเขมร

 ผลงานการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์มากกว่า 2 ล้าน 5 แสนศพ ( ไม่รวมผู้ที่สูญหาย ) ในกัมพูชา เกิดขึ้นในช่วง ค.ศ. 1975 - 1979  โดยน้ำมือของเขมรเเดง  นี่คือประวัติศาสตร์ของความอัปยศเรื่องหนึ่งที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์

ว่ากันว่าจำนวนคนที่ล้มตายกว่า 3 ล้านศพ เมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากรของประเทศที่มีอยู่ 9 ล้านคนในสมัยนั้น นั้นหมายความว่ามีคนเขมรต้องตายถึงเกือบหนึ่งในสามของประชากรทั้งหมด และสิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคืด การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่นี่ คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เดียวกันเอง ซึ่งเเตกต่างจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในที่อื่นๆ นั้นจะเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน เพื่อให้เผ่าพันธุ์ของตัวเองดำรงอยู่เท่านั้น


ในส่วนผู้เป็นต้นเหตุของความอัปยศครั้งนี้ในระยะเเรกเริ่มนั้นมีเพียงสองคนเท่านั้นคือ พอล พต (  Plo Pot ) และเขียว สัมพัน ทั้งสองท่านล้วนเป็นนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงของประเทศทั้งคู่ เพื่อไปศึกษาต่อยังประเทศฝรั่งเศษ เพื่อให้กลับมาทำคุณกับแผ่นดิน หากแต่ทั้งสองกลับ สนองคุณ ประเทศด้วยวิธีสามานย์ และอัปยศ ด้วยการทำลายประเทศ ด้วยการนำเอาระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์สุดขั่วมาจู่โจมเล่นงานประเทศ กระทั้งประเทศเกิดความพินาศไปหมดในช่วงที่ทั้งสองครองประเทศอยู่

ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถหาอ่านได้ตามอินเทอร์เน็ต 




                  ที่มา : หนังสือฆ่าโหด ล้างเผ่าพันธุ์
.......................................

ทุ่งสังหาร

ที่เเรกที่ฉันมาคืดทุ่งสังหาร ที่นี่อยู่ห่างออกไปจากเมืองพนมเปญ ราว 40  นาที วันนี้อากาศดีไม่ร้อนมาก  การเดินชมทุ่งสังหารนั้น เพื่อความอินและรู้สึกร่วม ควรหาข้อมูล หรือจ้างไกด์ท้องถิ่นจะได้บรรยากาศที่เพิ่มขึ้น ( คนเขมรส่วนมากที่อยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวสามารถพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว )   แต่ถ้าอยากเดินดูคนเดียวที่นี่ก็มีหูฟัง มีให้เลือกฟังหลายภาษาหลักๆ ของโลก รวมทั้งภาษาไทย เเน่นอนฉันเลือกใช้หูฟัง เพราะมันถูกและฉันก็มาคนเดียว จริงๆก็เพื่อประหยัดเงิน 
เมื่อได้หูฟังพร้อมตัวเล่น  เจ้าหน้าที่จะมอบแผนที่ให้เรามาหนึ่งฉบับ ในเเผนที่จะมีประมาณ 15 จุด ( ทำแผนที่หาย เลยจำไม่ได้ว่ากี่จุด )  ทุกๆจุดก็ให้เราเดินตามพร้อมเปิดเทปฟัง ฟังไม่ทันก็ฟังวนได้ ฟังเสร็จก็ปล่อยความรู้สึกพร้อมจินตนาการไปพร้อมกับเหตุการณ์ในอดีต T T

ประตูทางเข้า Killing field

บรรยากาศภายในทุ่งเเห่งนี้ ดูข้างนอกเหมือนจะครื้นเครงคนเยอะ เเต่เมื่อก้าวเข้ามา ที่นี่เหมือนโลกอีกโลกหนึ่งเลย เงียบมาก เงียบจนวังเวง ทั้งๆที่เป็นตอนกลางวันเเดดเปรี้ยง  บรรยากาศมันมาคุๆ 


เข้ามาที่นี่ฉันเดินได้สามจุด ฉันก็หาม้านั่งเเล้วนั่งดูคนเดินไป เดินมา หลายคนขอบตาเเดงก่ำ บางคนนั่งนิ่งไม่ขยับ ปล่อยความคิดไปกับเหตุการณ์ข้างหน้า ไม่มีใครหัวเราะ ไม่มีใครยิ้ม มันหดหู่เเละเศร้าไปหมด เศร้าจนไม่รู้จะบรรยายหรืออธิบายยังไง ในหัวมีเเต่คำว่า ทำไม ทำไม ทำไมเต็มไปหมด เรื่องเเบบนี้มันเคยเกิดขึ้นจริงๆเหรอ?

ตัวฉันเองก็รู้สึกหมดเเรง ไม่อยากเดินไปไหน อยากนั่งนิ่งๆตรงนั้น ลำพังเเค่จะยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปยังรู้สึกหมดเเรง ไม่อยากมีความทรงจำกับที่นี่ อยากให้มันเข้ามาและก็ลืมหายไปและคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ โลกที่มนุษย์สามารถขึ้นไปเยียบดวงจันทร์ โลกที่มนุษย์มีเทคโนโลยีทางการเเพทย์ที่เจริญ  หรือจริงๆแล้วโลกของเรามันเจริญเเค่ทางวัตถุจริงๆ จิตใจของมนุษย์เราร้อยปี พันปีในถ้ำเเต่ก่อนเป็นเเบบไหน ตอนนี้เราก็ยังเป็นเเบบนั้น การฆ่าอีกฝ่ายที่เห็นต่างๆ มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกที่ไม่ว่าจะยุคไหนก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลารวมถึงยุคนี้ ตอนนี้ 

จริงๆ คนเขมรเองเขาคงไม่ได้อยากจะจดจำความทรงจำนี้เหมือนฉันแหละ เท่าที่ฉันพูดคุยกับคนที่พบเจอระหว่างเดินทาง  หลายๆคนพร้อมลืม เพราะมันโหดร้าย บางคนเสียญาติพี่น้อง ที่ไม่มีโอกาสได้พบเจอกันอีกเลย บางบ้านถึงกับหายสาบสูญ
..........................
หลายคนพร้อมลืม
 ประวัติศาสตร์ หากมันเจ็บปวดเกินไปที่จะจำ...
...........................

อนุสรณ์ที่รำลึกถึงชาวเขมรที่ถูกต้อนมาเพื่อฆ่าที่ทุ่งเเห่งนี้

ฉันใช้เวลาที่นี่ราวๆ สองชั่วโมงจนจุดสุดท้ายในแผนที่ พร้อมวนเทปไปฟังบทสัมภาษณ์ของผู้รอดชีวิตท่านหนึ่งที่รอดชีวิตจากสถานที่เเห่งนี้

เขาสอนเรื่องความหวัง จำคร่าวๆประมาณว่า 

" ผมรอดชีวิตจากที่เเห่งนี้เพราะผมมีความหวัง
ความฝันของแม่ ความรักของเเม่ที่มอบให้ เป็นความหวังให้ผมรอดชีวิต
ความหวังทำให้เราอยากมีชีวิต อยู่เพื่อตัวเอง อยู่เพื่อเป็นความหวังของใครสักคน "

ปัจจุบันเขาได้ใช้ชีวิตที่สหรัฐฯ กับภรรยาและลูกๆ เขาทิ้งท้ายประโยคว่า " เเต่ละคนมีการจัดการกับชีวิตที่เข้ามาเเตกต่างกัน สำหรับเขาการเเก้เเค้นของความอัปยศครั้งนี้คือ การกลับมาลือกตั้ง !!! "

ภายในอนุสรณ์บรรจุหัวกะโหลกที่ค้นพบในทุ่งเเห่งนี้

ในตู้ที่สูงประมาณเจ็ดชั้น บรรจุกะโหลกของทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และกะโหลกเล็กๆที่เป็นของเด็ก  อุปกรณ์ที่ใช้ในการฆ่า ทรมาน รวมทั้งเสื้อผ้าพร้อมคราบเลือดที่ติด ที่นี่เหมือนพิพิธภัณฑ์หัวกะโหลก มันมีมากจนรู้สึกว่ามันคือของปลอม

ฉันเดินออกมาจากที่นี่ตอนบ่ายโมงกว่าๆ เพื่อมุ่งหน้าไปสถานที่ๆสอง  แปลกมากที่ฉันรู้สึกไม่หิว เพราะตอนนี้ฉันรู้สึกว่าฉันกินอะไรไม่ลงแล้ว  T T


.......................................


คุก ตวล สแลง

สถานที่ๆ  2 หลังจากเยี่ยมชม Killing Filed ก็นั่งรถเข้าเมืองเพื่อไปคุก ตวล แสลง ถึงตอนนี้ในหัวฉันไม่รับอะไรเเล้ว กลิ่นเหม็นอับของเสื้อ ของกะโหลก ที่ทุ่งสังหารยังรู้สึกว่าตามหลอกหลอนฉันอยู่เลย ฉันบอกไกด์ไปว่า พาฉันไปคุกตลวเเสลง ข้าวเที่ยงฉันไม่กินหละ ฉันกินอะไรไม่ลง ฉันจะอ้วก มึนหัว

คนขับตุ๊กๆ ได้เเต่ยิ้มเเล้วพูดติดตลกว่า ทุกคนส่วนมากเป็นเเบบนี้ ตอนนี้ผมคิดว่าคุณคงอยากกลับไปนอนมากที่สุด พร้อมหัวเราะเเละขับรถพาฉันไปคุก ตวล แสลงตามหน้าที่ต่อไป... 




คุกตวล แสลง ในข้อมูลเขียนไว้ว่าที่นี่เมื่อก่อนเคยเป็นโรงเรียน ดูจากภายนอกก็เหมือนตึกโรงเรียนทั่วๆไป เเต่เมื่อยุคเขมรเเดงเรือนอำนาจที่นี่กลายเป็นคุกที่ขังคนกัมพูชาด้วยกันเอง รวมทั้งเป็นที่ทรมานักโทษที่ไม่เเยกเพศ เเยกอายุที่นี่เคยมีคนตายมากมาย จนยากที่จะจินตนาการถึงตัวเลขความสูญเสียดังกล่าว

บรรยากาศข้างนอกครื้นเครงเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป เเต่พอก้าวเข้ามาบรรยากาศมันหวิวมากกกกกก วังเวง กลิ่นอับ คราบเลือดเเห้งๆ มันชวนขนลุกกว่า Killing filed มาก ทั้งๆที่เวลานั้นคนเข้าชมก็มีเยอะพอสมควร เเต่ข้างในมันน่ากลัว มันเเบ่งซอยเป็นห้องเล็กๆ  บางห้องคือห้องปิดตาย ไม่มีทางออก เเละที่นี่ทุกตารางนิ้วบนพื้นเคยมีคนตายเป็นจำนวนมาก  เเละเเน่นอนการเดินดูห้องต่างๆเพียงลำพังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีมากนัก ฉันจึงเดินตามนักท่องเที่ยวรายอื่นๆ ให้รู้สึกอุ่นใจมากขึ้น




ที่นี่เป็นการนำเอาภาพ เหตุการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้นมาจัดเเสดงเป็นห้องๆ โชว์เตียง โชว์อุปกรณ์ที่เคยทรมานนักโทษ ตอนนี้ฉันเริ่มจะไม่ไหว ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้นเเล้ว ที่นี่น้ำตาของคุณจะหลั่งออกมาเอง แม้คุณจะไม่รู้จักคนที่เสียชีวิต น้ำตาของคุณจะไหลด้วยเหตุผลมากมายเยอะเเยะ ความรู้สงสาร หดหู่ และชวนคิดเรื่องราวต่างๆนานา  รวมทั้งมีคำถามมากมายที่อยากหาคำตอบว่า ทำไม ทำไม ทำไม ทำไมคนมันโหดร้ายแบบนี้ เขาไม่กลัวบาปเหรอ 



สภาพห้องขัง ข้างในทั้งมืดและเหม็นอับ



ฉันใช้เวลาที่นี่ราวชั่วโมงกว่าๆ และรู้สึกว่าพอเเล้ว ฉันไม่ดูเเล้ว บางห้องคนน้อยมากจนไม่กล้าเข้าไปดูคนเดียว ฉันเลยตัดสินใจออกมานั่งพักดูคนเดินไปเดินมาราวครึ่งชั่วโมงเลยตัดสินใจว่า โอเค พอเเล้วกับสถานที่อะไรเเบบนี้

อนุสรณ์เพื่อรำลึกให้กับผู้เสียชีวิต


ฉันยังจำประโยคของนักธุรกิจชาวเขมรท่านนั้นเป็นอย่างดี เขาบอกฉันว่า คุณไปที่ไหนก่อนก็ได้ในพนมเปญ ตัวเลือกสุดท้ายก่อนที่คุณจะจากที่นี่ไป คุณค่อยไป  Killing field และ ตวล แสลง เพราะถ้าคุณไปที่นี่เเล้ว คุณจะไม่มีอารมณ์ไปที่ไหนอีกเลยในพนมเปญ

ฉันพิสูจน์มาเเล้วว่า ประโยคนั้นเป็นเรื่องจริง !!!

ฉันมุ่งหน้ากลับที่พัก ปล่อยใจ ให้คิดอะไรเรื่อยเปื่อย  พร้อมมีคำถามที่ถามตัวเองว่า ในฐานะที่เราได้รับรู้เหตุการณ์ที่โหดร้ายเเบบนี้มาเเล้ว เราจะยอมให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกได้เหรอ?

เวลาผ่านไปฉันกลับพบว่า ปัจจุบันมนุษย์ก็ยังคนฆ่ากัน เกลียดกัน เพียงเหตุผลง่ายๆที่ว่า ก็เขาไม่เหมือนฉัน

มนุษย์ไม่จำเป็นต้องจดจำอดีตที่โหดร้ายไปเสียทุกเรื่องหรอก ถ้ามันโหดร้ายกับตัวเองเกินไป เเต่มนุษย์เราอย่างน้อยก็ควรไม่เดินตามประวัติศาตาร์ที่มันผิด หรือที่มันมีบทเรียนที่เลวร้ายจากในอดีตแล้วหรือเปล่า

หรือมนุษย์เรานอกจากไม่ได้จดจำอดีตเเล้ว เรายังไม่เรียนรู้อะไรจากอดีตอีกต่างหาก



                                                                                                                การิม  30/7/2016
               

บางช่วงบางตอนคัดจากความรู้สึกที่อยู่ในสมุดบันทึก   Cambodia 22 Oct 2015


วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

The Five Secrets You Must Discover Before you Die...ความลับ 5 ข้อที่คุณตองค้นพบก่อนตาย

ดร. จอห์น ไอโซ  : เขียน
อรวรรณ อบรมย์ :  แปล
สำนักพิมพ์ : OMG books



 



บนโลกใบนี้มีหนังสือมากมายหลายร้อยล้านเล่ม ไม่ใช่ทุกเรื่องที่เราอ่านเเล้วสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเราได้ จะโชคดีแค่ไหน ถ้าเราได้ลองอ่านหนังสือสักเล่มบนโลกใบนี้ เเล้วเล่มนั้นมันเปลี่ยนแปลงตัวเราได้ตลอดกาล... ส่วนตัวฉันคิดว่าหนังสือก็เหมือนเพื่อน ไม่ใช่ทุกเล่มที่เราจะได้อ่าน ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเพื่อนเราได้ หนังสือที่ได้อ่าน เพื่อนที่ได้คบ ฉันถือว่ามันเป็นโชคชะตา ที่ถูกกำหนดจากใครสักคน

หนังสือเล่มนี้ดูผิวเผินเหมือนหนังสือ  HOW TO ทั่วไปที่มีอยู่เกลื่อนมากมายในปัจจุบัน ทำยังไงให้รวย ทำยังไงให้เป็นนายคน ทำยังไงให้เก่ง บลาๆๆ  ไม่รู้อะไรดลใจ หรือเป็นใจเหมือนกันถึงทำให้ตัวเองเลือกซื้อหนังสือเล่มนี้ และกว่าจะอ่านเวลาก็ผ่านไปร่วมสองเดือนกว่าจะได้อ่าน  !!!

เนื้อหาในเล่มเขียนโดย  ดร. จอห์น ไอโซ โดยเนื้อหาทั้งหมดในหนังสือเขียนขึ้นจากการสัมภาษณ์ "คนรุ่นใหญ่ หรือคนเเก่ " นับร้อยคน (คัดมาจากคนจำนวนนับหมื่นคน) โดยรุ่นใหญ่ที่ว่ามีตั้งแต่อายุ 59-105 ปี ในหลากหลายอาชีพ ศาสนา สีผิว ผู้ชาย ผู้หญิง โดยชุดคำถามที่ถามนั้น อาทิ  อะไรที่ทำให้คุณมีความสุขที่สุด ?  อะไรที่ทำให้คุณเสียใจที่สุด ?    อะไรคือทางแยกของชีวิตคุณ ?  อะไรคือสิ่งที่คุณคิดว่าน่าจะได้เรียนรู้เร็วกว่านี้? ฉันเป็นคนในเเบบที่ฉันอยากจะเป็นในโลกนี้เเล้วหรือยัง?  เป็นต้น ( ในหนังสือมีคำถามมากกว่านี้ เเละเป็นคำถามที่เราในฐานะคนอ่านควรหาคำตอบให้ตัวเองเช่นกัน )

จากนั้นเขาก็เรียบเรียงจากคำตอบของหลายๆคน ออกมาเป็น
"ความลับ 5 ข้อที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย" ดังนี้



1. ซื่อสัตย์กับตนเอง


 " โศกนาฏกรรมยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต คือการใช้เวลาทั้งชีวิตตกปลาเพียงเพื่อจะพบว่า มันไม่ใช่ปลาตัวที่คุณต้องการ " เฮนรี่ เดวิด ธอโร




2. อย่าปล่อยให้เสียดาย



" น้ำตาอันขมขื่นที่สุดที่หลั่งรดหลุมฝั่งศพ คือน้ำตาที่เสียให้แก่วาจาที่มิได้เปล่งและการกระทำที่ไม่ได้ทำ"  แฮเรียต บีเชอร์ สโตว์




3. ใช้ชีวิตด้วยความรัก
" ถ้าอยากให้ผู้อื่นมีความสุข เธอจงใช้ความกรุณา ถ้าอยากให้ตัวเองมีความสุข เธอก็จงใช้ความกรุณา"  ทะไล ลามะ
 

4. อยู่กับปัจจุบัน


 
 " ชีวิตที่อยู่เพื่อวันพรุ่งนี้ จะไกลห่างจากการปรากฏเป็นจริงไปหนึ่งวันเสมอ "   ลีโอ บัสคาเกลีย


5. ให้มากกว่ารัก

" สำหรับข้าพเจ้า ชีวิตไม่ใช่เทียนวาบไหวเพียงครู่ยาม หากเป็นคบไฟเจิดจ้าที่ข้าพเจ้าถือไว้ช่วงเวลาหนึ่ง และอยากทำให้มันสว่างโชติช่วงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนยื่นให้อนุชนรุ่นต่อๆไป "  จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์


จริงๆ ความลับทั้ง  5 ข้อ มันไม่ใช่ความลับอะไรหรอก มันไม่ใช่อะไรใหม่ในสังคม บ้านเมือง หรือโลกของเราเลย  เเต่ทำไมในขณะที่อ่านสมองกลับรู้สึกว่าทำงานหนักมาก เหนื่อย หายใจไม่ทัน กลัว ตื่นเต้น ขนลุก หน่วงๆ ไปหมด ( จริงๆ ปวดเข้นั้นเอง ฮ่าๆๆๆ ) จริงๆแล้วเพราะชุดคำตอบที่เขาเขียนไว้ในหนังสือต่างหากล่ะ เพราะมันคือความจริง เรื่องจริง ของจริง มันไม่ใช่คำที่ฟังเเล้วดูเท่ๆ คำคมที่ฟังดูสวยๆ เพ้อๆ ลอยๆ ที่เต็มไปด้วยเปลือก เเต่มันคือความจริง ของจริง จากปากคนแก่ คนชรา ที่วัยใกล้ถึงฝั่ง !!!

หลังจากอ่านเล่มนี้จบ ฉันรู้สึกได้เลยว่า ตัวฉันเปลี่ยน ความคิดฉันเปลี่ยน มุมมองต่อชีวิตฉันเปลี่ยน ในส่วนที่ว่าเปลี่ยนเเบบไหนนั้น ฉันไม่บอก เพราะมันเป็นฉัน เเละฉันอยากให้ฉันเท่านั้นที่รู้ ( เขียนเพื่อ??? )

หากใครสักคนให้เเนะนำหนังสือที่อยากให้อ่าน หนังสือเล่มนี้คือหนึ่งในหลายเล่มนั้น  เนื้อหาในนั้นมันสามารถเปลี่ยนแปลงตัวคุณได้ตลอดกาล....ฉันเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้เราสามารถอ่านมันได้ทั้งชีวิต !!!

 Enjoy reading  :)


                                                                                                        Garim M. 17/7/16


วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

If Cats Disappeared from the World

Genki Kawamura : เขียน
ดนัย คงสุวรรณ์ : แปล
สำนักพิมพ์  Maxx Publishing

  

" ชีวิตคนถ้าดูใกล้ๆ จะเป็นหนังเศร้า ถ้าดูไกลๆ จะเป็นหนังสุข"





           
นิยายว่าด้วยชายหนุ่มวัย  30 ปีที่จู่ๆ วันหนึ่งถูกวินิฉัยว่ากำลังจะตาย เเต่ทันใดนั้นมีปิศาจที่หน้าตาคล้ายตัวเอง ( จริงๆก็คือภาพที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเองนั้นเเหละ ) ปรากฏขึ้นมา พร้อมเเลกข้อเสนอสุดพิศดารกับเขาว่า ถ้าลบอะไรสักอย่างไปจากโลกหนึ่งอย่าง จะให้อายุขัยเพิ่มอีกหนึ่งวัน !!!

เพื่อเเลกกับการมีชีวิตใครๆ ก็ต้องยอม  เป็นเราๆก็คงยอม เพราะคงไม่มีใครที่อยากตายหรอก  ยิ่งเมื่อรู้ว่าต้องตายเเล้ว เราจะมีคำถามกับตัวเองมากมายขึ้นมาในชีวิตทันที รวมทั้งสิ่งต่างๆที่อยากทำแล้วยังไม่ได้ลงมือทำ เราจะยังตายไม่ได้ !!!

โลกของเรามีอะไรหลายอย่างมากมาย ถ้าหายไปบ้างเราก็คงไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไร ไม่มีบางอย่างโลกของเราก็ดำเนินอยู่ต่อไปได้ อีกอย่างในโลกใบนี้ ยิ่งปัจจุบันด้วยเเล้ว มันมีสิ่งที่ไร้สาระเยอะเเยะมากมายเต็มไปหมด ลบออกไปบ้างโลกอาจจะน่าอยู่ขึ้นก็อาจจะเป็นไปได้

และแน่นอนชายหนุ่มเลือกที่จะยอมลบอะไรก็ได้ในโลกใบนี้ เพื่อเเลกกับการมีชีวิตเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน แต่ชีวิตมันไม่ได้ง่ายเหมือนที่เราคิดขนาดนั้น ( เเม้เเต่ในนิยายชีวิตตัวละครยังยากเลย -"-  ) เพราะการจะลบอะไรบางอย่างที่ว่านั้น ชายหนุ่มไม่สามารถที่จะเลือกลบตามที่ตัวเองปราถนาได้ เเต่เจ้าปิศาจจะเป็นคนเลือกเองว่าเขาอยาจะลบสิ่งไหน ออกจากชีวิตชายหนุ่มบ้าง  !!!

ในวันที่เรารู้ว่าชีวิตเราเหลือน้อยเต็มที แถมยังมีหลายอย่างมากมายในชีวิตที่ยังไม่ได้ลงมือทำ การมีชีวิตดูจะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่สุด  !!!   การเที่ยวรอบโลก หนังที่อยากดู หนังสือที่อยากอ่าน คนแอบชอบที่ยังไม่เคยได้บอกความรู้สึก บอกรักพ่อแม่ ขอโทษใครบางคน สิ่งต่างๆที่อยากทำพลั่งพรูออกมากมายจนเราไม่รู้ว่าจะทำอันไหนก่อน หรือหลังดี

เมื่อปิศาจเริ่มลบสิ่งต่างๆในโลกใบนี้ไปทีละอย่าง สองอย่าง สิ่งของที่ถูกลบล้วน ( เคย ) มีความสำคัญต่อชายหนุ่มทั้งสิ้น ทั้งโทรศัพท์มือถือ หนัง  นาฬิกา และเเมว   เมื่อสิ่งของต่างๆทยอยถูกลบ ชายหนุ่มกลับพบว่าไม่ใช่เเค่สิ่งของเท่านั้นที่หายไป ความทรงจำต่างๆที่มาพร้อมกับสิ่งเหล่านั้นกลับหายไปด้วย  ตรงนี้ทำเราให้เราได้ตอบคำถามตัวเองในชีวิตได้หนึ่งข้อ " มนุษย์นอกจากปัจจัยสี่ที่ต้องมีเพื่อดำรงชีวิตเเล้วนั้น ความทรงจำมันก็สำคัญ " !!!


อ่านหนังสือเล่มนี้จบ เราลองมาตั้งคำถามกับตัวเองดูสิว่า ถ้าวันหนึ่งเราลบโทรศัพท์มือถือไป ชีวิตอาจจะลำบากขึ้นมาหน่อยหนึ่งเเต่ก็คงไม่มาก สังคมก้มหน้าคงหายไป เราอาจจะมีเวลาสังเกตุคนข้างหน้าได้มากขึ้น มีเรื่องคุยกัยคนข้างหน้ามากขึ้น ก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ดีนะ

ถ้าฉันลบเวลาออกไปหละ อะไรจะเกิดขึ้น ชีวิตก็คงไม่ต้องเร่งรีบ เราสามารถทำอะไรก็ได้ในโลกใบนี้โดยไม่มีเวลามากำหนด เเต่ถ้าให้เลือกสิ่งที่เรารักที่สุดออกไปหล่ะ เราจะอยู่ด้วยการไม่มีสิ่งนั้นได้จริงๆเหรอ? เเล้วถ้าไม่มีเเล้วจริงๆละ เราจะมีชีวิตเเบบไม่มีสิ่งนั้นยังไง อันนี้ก็คงต้องตอบตัวเอง คิดเอง...

ลองจินตนาการดู ถ้าวันหนึ่งเราได้ลบสิ่งที่เรารักออกไป ชีวิตที่มีเเค่ปัจจัยสี่ อาจจะไม่เพียงพอในการดำเนินชีวิตแน่นอน  ชีวิตมันต้องมีความทรงจำให้คิดถึงสิ ได้ยิ้ม ได้ร้องไห้ ได้คิดถึงความทรงจำ  บางช่วงเวลามันคือความสุข  สำหรับเราความทรงจำมันคือความหวังเพื่อทำความฝัน ถ้าไม่มีความทรงจำก็ไม่มีความหวังให้ลงมือทำความฝัน แบบนี้เเล้วก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรกัน...


แล้วถ้าวันหนึ่งกลับต้องเป็นตัวเราที่หายไปจากโลกนี้หละ โลกจะเป็นยังไง? จะมีคนคิดถึงเราไหม? แน่นอนความจริงก็คือโลกก็ยังไม่เเตก โลกก็ยังหมุนของมันเเบบนี้อยู่เรื่อยๆ วันหนึ่งเราอาจจะถูกลืม ถูกลบไปจากโลก ไปจากความทรงจำของใครสักคนก็อาจจะเป็นไปได้

ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่นั้น เราได้ลงมือทำในสิ่งที่เราอยากทำเเล้วหรือยัง?  ความฝันที่ฝันไว้ถึงไหนเเล้ว?  วันหนึ่งถ้าเราหายไปจากโลกใบนี้จริงๆ จะได้ไม่รู้สึกเสียดายอะไรที่มาเยือนโลกใบนี้ เพราะในขณะที่เรามีชีวิตนั้น เราได้ลงมือทำ ได้พยายามทำ แค่นั้นมันก็น่าจะเพียงพอเเล้วสำหรับการมีชีวิต .......


นอกจากเนื้อหาให้เราตระหนักว่าทุกวันนี้...เราได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าแล้วหรือยัง? เราเห็นคุณค่าในสิ่งต่างๆรอบตัวแค่ไหน?  เรารักคนที่รักเราได้มากพอหรือไม่?  ความรัก มิตรภาพ เพื่อนในวัยเด็ก ปัจจุบันเราเก็บพวกเขาไว้ที่ส่วนใดของความทรงจำ ?  หนังสือกำลังสื่อให้เราควรใช้ชีวิตอย่างไร  ถ้าพรุ่งนี้เราจะตาย เราจะทำอะไรก่อนตาย? นั้นเป็นสิ่งที่เราต้องหาคำตอบด้วยตัวอง  เพราะวันหนึ่งเราจะจากไปแบบไหน มีคนให้คิดถึงเราไหม มันก็ขึ้นอยู่กับว่า ในขณะที่เรามีชีวิตนั้นเราทำอะไรบ้าง อาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่ เปลี่ยนแปลงโลก เเต่สำหรับโลกของคนๆหนึ่งที่รักเรานั้น มันเต็มไปด้วยความทรงจำ เพื่อการมีชีวิตของเขาทั้งสิ้น...

     ปล. หนังสือเล่มนี้ซื้อที่ร้านหนังสือเดินทาง ปัจจุบันหนังสือขาดตลาด รอ สนพ. พิมพ์เพิ่ม ในส่วนหนังนั้นได้ลองดูก่อนอ่านหนังสือ ภาพหนังสวยเเต่เดินเรื่องงง ช่วงเเรกน่าเบื่อจนหลับ zzZZ   เเต่อยากเเนะนำให้อ่านมากกว่า ตัวหนังสืออ่านง่าย กระดาษดี ที่สำคัญไม่หนามาก Enjoy reading


                                                                                                                              Garim M. 15/7/16


วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

PASSPORT BOOKSHORP...ร้านหนังสือเดินทาง

 

" If you only read the books that everyone else is reading,

you can only think what everyone else is thinking. "

                                                                                                   Haruki  Murakami
 
 

 
          ร้านหนังสือเดินทางเป็นร้านหนังสือเล็กๆที่อยู่บนถนนพระสุเมรุ บวรนิเวศ ใกล้ๆอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เดินตรงไปเรื่อยๆก็ถนนข้าวสาร  ร้านมีพื้นที่ใช้สอยไม่ใหญ่มากนัก มีสองชั้น ชั้นล่างอัดเเน่นไปด้วยหนังสือหลากหลายทั้งไทยและเทศ ชั้นสองเป็นที่โล่งๆ ไว้อ่านหนังสือหรือจัดเสวนาในบางโอกาส ที่นี่เราสามารถหาหนังสือปรัชญาหนักๆ บทความเบาสมอง ความเรียง  ท่องเที่ยว แผนที่ วรรณกรรมร่วมสมัย วรรณกรรมสายเเข็ง วรรณกรรมเยาวชน เป็นต้น
 
เมื่อเราผลักประตูเข้าไปครั้งเเรก กลิ่นหนังสือจะเป็นกลิ่นเเรกที่เเตะจมูก พร้อมด้วยคำทักทายของพี่หนุ่มเจ้าของร้าน ที่นี่มีที่ให้เรานั่งพักอ่านหนังสือ ดื่มชากาแฟ ( ราคาเป็นกันเอง)  ความพิเศษของที่นี่มีมุมโปสการ์ดที่ถูกส่งมาจากทั่วทุกมุมโลก แสดงมิตรภาพความน่ารักระหว่างร้านหนังสือกับผู้อ่าน  รวมไปถึงนักเดินทางที่เเวะเวียนเข้ามาในร้านทั้งคนไทยและต่างชาติ
 

 
 
 
ร้านอาจจะมีหนังสือไม่มากเหมือนร้านหนังสือดังๆตามห้างสรรพสินค้า เเต่ถ้าว่าด้วยคุณภาพของหนังสือเเล้ว การันตีทุกเล่ม หนังสือ Great Books ที่เกิดมาเป็นคนต้องอ่าน หลายเล่มก็สามารถหาได้จากที่นี่  บางเล่มมีบทความรีวิวสั้นๆ ของหนังสือที่พี่หนุ่มเจ้าของร้านเขียนติดไว้ ว่าหนังสือว่าด้วยอะไร เป็นนหนังสือเเนวไหน หากยังสงสัยก็สามารถเดินไปคุยกับพี่เขาได้ หรือถ้าจะลองอ่านก่อนก็ทำได้ ( จะซื้อไม่ซื้อนั้นอีกเรื่อง ) ในส่วนมิตรภาพระหว่างผู้อ่านนั้น ความรู้สึกส่วนตัวพบว่าที่นี่เราสามารถคุยกับคนข้างๆได้เเบบไม่เกร็งเหมือนที่เราพบเจอตามร้านหนังสือในห้าง ที่นี่เราจะพบเจอคนที่แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือต่างๆทั้งในกระเเสและนอกกระเเส เราจะพบคนที่อ่านวรรณกรรมสายเเข็งมากมายอย่างงานของ ตอล สตอย, อัลเเบร์ การ์มู, มิคาอิลโลวิช ดอสโตเยฟสกี, คาฟคา  เป็นต้น  บางช่วงที่นี่จะมีเสวนาเรื่องหนังสือรางวัลโนเบล ซีไรต์  ได้เเตะไหล่คนแปลหนังสือ คนเขียนหนังสือ แบบเป็นกันเอง ถามตอบกันสนุกสนาน

การซื้อหนังสือจากที่นี่ ทางร้านจะไม่มีถุงใส่หนังสือให้เราเหมือนร้านทั่วๆไป เเต่ทางร้านจะใส่อะไรแบบไหนนั้นอยากลองให้ไปพิสูจน์กันเอาเอง ฮ่าๆๆๆ  > <
 
หากใครหลายๆคนอยากลองปลีกวิเวกความวุ่นวายของกรุงเทพฯ อยากลองไปนั่งนิ่งๆ เงียบๆ ทบทวนชีวิตตัวเอง  หรืออยากหาอะไรทำวันหยุดที่นอกเหนือจากการนอนอยู่ห้องหรือเที่ยวห้าง โลกที่นี่ก็เป็นอีกโลกหนึ่งที่น่าลองไปสัมผัสดู คุณอาจจะตกหลุมรักมันแบบไม่รู้ตัว   :) :)

           ปล หนังสือที่ห้อยอยู่ในรูปนั้น ตอนนี้ทางร้าน"First Edition" Exhibition : นิทรรศการ "พิมพ์ครั้งแรกๆ" นิทรรศการที่นำหนังสือดีๆ ฉบับพิมพ์ครั้งแรกๆ   ทางร้านมี exhibition อยู่เรื่อยๆ ลองติดตามกันตาม Facebook ของร้านดูได้ https://www.facebook.com/yo.noompassportbookshop
 

                                                                                    Hope to see you there :)
                                                                                              การิม 2/7/16
 





วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Papa, you're handsome...พ่อหล่อ สอนลูก

 
อธิคม คุณาวุฒิ :  เขียน
สำนักพิมพ์ : WAY Of BOOK 
 
 " ถ้าหนูเริ่มโตขึ้นแล้วพบว่าพ่อเริ่มเคี่ยวเข็ญเรียกร้องให้หนูมีน้ำอดน้ำทนมากขึ้น ไม่ใช่เเค่อดทนกับสภาพอากาศอย่างเดียว แต่รวมถึงอดทนกับสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย ผู้คนที่ไม่น่ารัก ก็ขอให้หนูเข้าใจไว้ว่า ความอดทนและความแกร่งเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับคนรุ่นหนู บางทีมันอาจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเกิดเป็นผู้หญิงหรือลูกผู้ชายก็ตาม "
 
 
 
 
Papa, you're handsome สำหรับฉันเเล้วเป็นเหมือนหนังสือที่รวบรวมคำสอนของพ่อคนหนึ่งที่สอนลูก ซึ่งเราสามารถนำมาสอนได้ทั้งลูกสาวและลูกชาย ( ถ้ามีลูก ) ถ้าไม่มีก็สอนหลานเอาก็ได้ เพื่อให้เขาเหล่านั้นเตรียมพร้อมกับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องเผชิญโลกในอนาคต 
 
 
เรื่องราวต่างๆที่อยู่ในหนังสือเป็นเรื่องราวที่คุณพ่อพยายามตอบคำถามเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมอย่างตรงไปตรงมา สอนให้ลูกได้ลองคิด และลองตั้งคำถามกับเรื่องต่างๆ ที่พบเจอในสังคมปัจจุบัน เเต่ละเรื่องในหนังสือที่พ่อได้เล่าได้ตอบไปนั้น ไม่มีสิ่งไหนถูก ไม่มีสิ่งไหนผิดไปเสียหมด เพราะเรื่องที่ผิดในคนรุ่นพ่อ อาจจะไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดในวันที่ลูกโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่
 
 
 
คำถามต่างๆที่พ่อพยายามจะตอบคำถามให้ลูกนั้น มันทำให้เราได้ฉุกคิดว่า เราจะส่งมอบสังคมแบบไหนให้คนรุ่นลูกนะ ในเมื่อจริงๆเเล้วสังคมที่เราอยู่ ทรัพยากรที่เราใช้ รวมทั้งธรรมชาติ ทะเล ภูเขา คนที่เป็นเจ้าของจริงๆ เเล้วคือคนที่เป็นเด็กในวันนี้หรือเป็นของลูกๆของเราต่างหาก
 
 
หากกลับมามองสังคมในปัจจุบันแล้ว เราจะพบได้เลยว่า เราเป็นห่วงเเค่ตัวเองจริงๆ เราไม่สนใจคนในวัยเด็ก วัยลูกของเราเลย  เราเป็น Generation ที่เห็นเเก่ตัว เราอยากให้คนวัยเราสบาย เราผลาญทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย เรามือเติบ เราออกแบบสังคมได้ไม่น่าอยู่ เราทะเลาะกัน เราไม่เคารพเเม้สิทธิขั้นพื้นฐานอย่างความเป็นมนุษย์ เราทำสงครามกับคนคิดต่าง เราเกลียดคนที่ไม่คิดเหมือนเรา เราไล่เขาออกนอกประเทศเพียงเเค่เขาไม่ได้คิดเหมือนที่เราคิด  เราย้อนเเย้ง เราอ่อนเเอ เรามีปัญหาเยอะเเยะมากมายจนไม่สามารถเเก้ไขมันหมดได้ในวัยของเรา เเละเเน่นอนสิ่งเหล่านั้นคือมรดกที่เราจะมอบให้คนรุ่นลูกของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไรนั้นให้เป็นหน้าที่ของคนในวัยลูกของเราเเก้ปัญหากันเอาเอง
 
 
เเล้วถ้าฉันในวัยยี่สิบกลางๆ จะลองตั้งคำถามกับสังคมบ้านเมืองในปัจจุบันที่เป็นกันอยู่อย่างทุกวันนี้บ้างได้ไหมว่า นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่ให้คนรุ่นฉันเเล้วจริงๆเหรอ  คนรุ่นพ่อ รุ่นเเม่ตอนนั้นทำอะไรกันอยู่เหรอ?  ทำไมถึงได้ปล่อยให้บ้านเมืองของเราเป็นเเบบนี้ ทำไมการใช้ชีวิตในสังคมที่พ่อ เเม่มอบให้มันถึงได้ยากลำบากขนาดนี้ นี่คือมรดกที่คนในวัยพ่อเเม่เรามอบให้เราจริงๆเหรอ?  
 
 
การมีลูกคงไม่ได้เป็นสิ่งที่ยากอะไร เเต่การสอนลูกเพื่อโตขึ้นไปเป็นคนที่มีคุณภาพของสังคมที่เขาอาศัยอยู่ต่างหากที่เป็นเรื่องยาก คนเป็นพ่อเป็นเเม่ซึ่งเป็นครูคนแรกของลูกสามารถออกเเบบสังคมได้ว่าจะให้สังคมเติบโตไปในทิศทางไหน เพราะในวันที่ลูกโต คุณจะได้สังคมในเเบบที่คุณสอนลูก เพราะลูกของคุณจะโตในบ้านเเละโตในสังคมไปพร้อมๆกัน
 
 
                                                                                         การิม  2/7/16
 
 
 
 
 
 
 

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Australia Spring Ways

เรื่อง : ตินการต์
ภาพ : พจชพล
สำนักพิมพ์ : บันลือ



หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อ่านจบเป็นเล่มที่สามของปีนี้ เป็นหนังสือที่มีหน้าปกที่สวย มันดูรกๆดี ชอบ พลิกดูเนื้อหาเเล้วก็ไม่ได้เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาที่หนักหนาสาหัสอะไร เหมาะเเก่การอ่านฆ่าเวลา ในช่วงชีวิตที่ไม่อยากมีอะไรหนักๆเข้ามาในหัว รวมทั้งแก้เบื่อ แก้เซ็งได้ เลยตัดสินใจหยิบมันอ่านขึ้นมา


หนังสือเล่มนี้ก็เหมือนหนังสือทั่วๆไปที่วางขายบนแผงหนังสือตามร้านหนังสือทั่วไปในปัจจุบันที่มีมากมายเหลือเกินจนไม่รู้จะหยิบเล่มไหนขึ้นมาอ่าน  หนังสือบันทึกการเดินทางของคนที่มีความฝันอยากออกเดินทางเพื่อค้นหาประสบการณ์ชีวิต ค้นหาตัวเอง บลาๆ ส่วนเล่มนี้ว่าด้วยความฝันของ หนุ่ม สาวคู่หนึ่งที่มีความฝันอยากออกเดินทางด้วยรถบ้าน ใช่!! รถบ้าน เป็นรถด้วยเป็นบ้านด้วย เป็นรถที่สามารถเคลื่อที่ไปไหนมาไหนได้ ค่ำไหนนอนนั้นได้เพราะมันคือบ้านด้วยภายในตัว เก๋ไปอีกกกกก  เส้นทางการเดินทางของหนุ่มสามคู่นี้เริ่มต้นจากโกลด์ โคสต์ ซิตนีย์ ผ่านเมืองวูลลองกอง แคนเบอร์ร่า อัลบูรี่ จีลอง แกรท โอเชี่ยนโรด และสิ้นสุดที่เมลเบิร์น สิ่งที่เจอ ปัญหาที่ได้พบ การเเก้ปัญหา ความทรงจำ เรื่องราวข้างทาง ความนึกคิด ก็ได้มาเป็นหนังสือเล่มนี้นี่เเหละ

อย่างที่บอกหนังสือเล่มนี้ตอนอ่าน ตัวเองรู้สึกเหมือนได้อ่านบันทึกของคนเดินทางที่เขียนไว้ เนื้อหาก็ชิวๆ ไม่มีปรัชญาหนักๆ ค้นหาความหมายชีวิตอะไรให้ต้องคิดเเล้วคิดอีกให้ปวดหัว เรื่องราวต่างๆค่อยๆเป็นไปไม่ได้ซับซ้อนอะไร  เป็นหนังสือที่เหมาะเเก่การอ่านฆ่าเวลาบนบีทีเอส รอเพื่อนมาหา รับลูกหน้าโรงเรียน นั่งเรือคลองเเสนเเสบ ( ถ้าคนไม่เเน่น )  หรืออ่านชิวๆเก๋ๆร้านกาแฟ ถ่ายรูปอัพไอจี เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์  ( กัดเขาไปทั่ว นิสัยไม่ดี )   ด้วยตัวเนื้อหาไม่มีอะไรมาก อ่านไปนั่งดูรูปสวยๆไป เพลินๆ จบสองร้อยกว่าหน้าเเบบงงๆๆ เออดี ดีไปอีก  @_@ สำหรับฉันเเล้วเล่มนี้ไม่ได้มีความพิเศษอะไรมากมาย ทั้งด้วยตัวเนื้อหาเองก็ดีหรือข้อมูลอะไรต่างๆในหนังสือเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆก็ดี ส่วนตัวเเล้วไม่ได้รู้สึกอินหรือมีความรู้สึกพิเศษอะไร ไม่ได้มีความรู้สึกเมื่ออ่านจบเเล้ว
อยากเก็บกระเป๋าเดินทางตามรอยไป เเต่รู้สึกดี ยินดีกับคู่หนุ่ม สาวคู่นี้ในเรื่องของการทำตามความฝันมากกว่า ความฝันที่อยากเที่ยวกับรถบ้าน ความฝันที่อยากออกเดินทางด้วยกันมีความทรงจำร่วมกัน  ระหว่างทางของความฝันที่ต้องอดทนและพยายามที่ต้องทำงานเก็บเงิน ประหยัด เพื่อที่จะทำความฝันของตัวเอง ทำให้เป็นเรื่องที่น่ายกย่องของทั้งคู่มากกว่า ( เพราะการทำงานไปเรียนไป ผัดข้าวร้านอาหารไทยในต่างแดน เสิร์ฟข้าวไปนั้น เป็นเรื่องที่หนักเอาการใช้ได้ )

การมีความฝันเเล้วซื่อสัตย์กับความฝันนี่มันดีจริงๆ มันเป็นเหมือนพลังงานที่มีเเรงขับเคลื่อนมหาศาล ตัวฉันเองยังสามารถรับรู้ถึงความสุขของทั้งคู่ ระหว่างทางของการเดินทางและเมื่อถึงจุดหมายปลายทางผ่านตัวอักษรได้ดี คงเป็นความรู้สึกที่ดี อิ่ม พอใจกับชีวิต แฮปปี้กับช่วงเวลาเหล่านั้น อีกทั้งยังยินดีกับความสำเร็จของทั้งคู่ที่ทำส่วนหนึ่งของความฝันได้สำร็จ จนได้มีความทรงจำดีๆร่วมกันจนได้เล่มความทรงจำนี้ขึ้นมา



อาจจะด้วยปัญหาชีวิตของตัวเองด้วยเเหละมั้งที่ถาโถมเข้ามา ทั้งด้วยตัวงานที่ทำอยู่ ครอบครับ คนรอบข้าง ความกังวลกับปัญหาที่เจอทั้งในปัจจุบัน และกังวลกับอนาคตจนทำให้หลังๆรู้สึกอิ่มๆกับการเดินทาง และไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นของสถานที่ใหม่ๆ หรืออาจจะด้วยหนังสือเเนวนี้ที่เยอะเกินในปัจจุบัน รวมทั้งกระทู้ท่องเที่ยวมากมายเกี่ยวกับการเดินทางในอินเทอร์เน็ตจนรู้สึกเบื่อๆ   ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนเดินทางมากมายอะไรบนโลกใบนี้ หรืออาจจะด้วยจังหวะชีวิตตอนนี้ที่รู้สึกว่ายังมีสิ่งที่ต้องทำเเละจำเป็นมากกว่าการเดินทาง ( จริงๆไม่ได้ชอบความรู้สีกนี้เลย )  เเต่ลึกๆก็หวังว่าถ้าวันหนึ่งถ้าได้หยิบมันมาอ่านอีกครั้ง ตอนนั้นถ้าอ่านจบฉันอาจจะเก็บกระเป๋าเก็บเสื้อ เเล้วตีตั๋วออกเดินทางตามเส้นทางนี้ตามหนังสือเลยก็อาจจะเป็นไปได้ เเต่ตอนนี้มีความสุขที่จะได้ดูรูปภาพสวยๆในหนังสือมากกว่า


                                                                                การิม  28/2/2016 

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Xin chào เวียดนาม


Who lives, sees much. Who travels, sees more.
                                              
                                   Arab Proverb

 
 
 





       ด้วยภูมิประเทศที่ยาว เวียดนามจึงมีอะไรให้ดู ให้ได้เห็นเยอะเเยะเต็มไปหมด เป็นประเทศที่มีความเเตกต่างมากมายทั้งทางด้านสังคม วัฒนธรรม การกิน การอยู่ รวมทั้งอากาศก็เเตกต่างกันออกไป วันนี้นอนอากาศร้อนอยู่อีกเมืองหนึ่งบนรถ ตื่นเช้ามาก็อาจจะเจออากาศหนาวของอีกเมืองหนึ่ง หากอยากลองอะไรที่มันตื่นเต้นในชีวิต เวียดนามให้เราได้ อย่างการข้ามถนนที่นี่มันก็ตื่นเต้นจนไม่อยากก้าวขาออกไปเเล้ว และนี่คือ  8 เมืองที่ฉันเดินทางตลอดการไปเที่ยวที่เวียดนาม 

Enjoy life : )


1.  HO CHI MIN City

   ที่นี่มี Museum  ให้เดินเยอะมาก มีอะไรน่าดูเต็มไปหมด เเค่นั่งดูคนข้ามถนนก็รู้สึกตื่นเต้นเเล้ว โฮจิมินห์วันนี้เมืองขยายเร็วมาก ในขณะเดียวกันต้นไม้ในเมืองก็ยังมีให้เห็นเยอะมากเช่นเดียวกัน 


มาฝากเนื้อฝากตัวกับลุงโฮ ก่อนจะเที่ยวประเทศของท่าน


2.  Da Lat
     
      ดาลัดเป็นเมืองในหุบเขาสูง อากาศดีเย็นสบายตลอดทั้งปี มีน้ำตกมากมายให้ได้ไปเล่นน้ำ เมืองนี้กาแฟอร่อย จากตัวเมืองเราเช่ารถมอเตอร์ไซต์ขับไปตามรอบนอกเราจะได้เห็นไร่กาแฟสุดลูกหูลูกตา และกลิ่นกาเเฟก็หอมจนอยากอยู่สูดกลิ่นนานๆ

นั่งจิบกาแฟกับวิวพาโนรามา
 



น้ำตกที่อยู่ห่างออกจากเมืองไปราว 2 ชั่วโมง

  
3. Nha Trang

       เมืองติดทะเล อากาศร้อนเหมาะเเก่การซักผ้า เพราะด้วยแดดที่ร้อนเเรงจนอยากสังเคราะห์เเสงแล้วนั้น ผ้าที่ตากก็กรอบแห้งหอมเเดดสุดๆ เรามาที่นี่เพื่อซักผ้าอย่างเดียว




4. Hoi An

       ฮอยอันเมืองมรดกโลก เมืองนี้เป็นเมืองเล็กที่ค่อนข้างสงบ มีความสุขกับการปั่นจักรยานในเมืองมาก ภาพความทรงจำตอนดูละครฮอยอัน ฉันรักเธอ ตอนเด็กกลับมาอีกครั้ง


ฮอยอัน ฉันรักเธอ
ฮอยอัน
 
 

5. Da Nang
    
    เมืองนี้เราเเทบไม่มีความทรงจำอะไรเลย นอกจากการเดินแบกกระเป๋าร่วม 4  กิโลฯ เพื่อไปสถานีรถไฟ -"-  เมืองนี้เราสามารถปั่นจักรยานจากฮอยอันได้ หากเคยไปนาตรังแล้วเมืองนี้ก็มีอะไรเพราะมันเหมือนๆกัน อาจจะเเค่เเวะเยี่ยว เเวะขี้ก็ยังดี  อิอิ

คุณลุงกับวิวข้างทางรถไฟ
 

เมืองดานัง


 
6. Hue

    หากใครชอบความเป็นเมืองและชอบต้นไม้ด้วยเเล้ว เมืองนี้ให้คุณได้ทุกอย่าง เพราะต้นไม้ในเมืองเยอะมาก อีกทั้งพระวัติศาสตร์ของเมืองนี้ก็น่าสนใจมากเช่นกัน เราอยู่เวียดนามกลางเเล้ว ครึ่งทางของการเดินทางเเล้ว


พระราชวังเมืองเว้


 


 7. Ha Noi

   เรานั่งรถไฟนอนจากเมือง Hue  มาถึงที่นี่เช้าตรู่  เราได้เห็นตั้งเเต่เมืองนี้ที่มันยังหลับไหลจนเมืองตื่นและหลับอีกรอบ เราอยู่ที่นี่เรากินกาแฟทุกวัน กินไปดูคนเดินไปเดินมา นั่งระลึกถึงการเดินทางของตัวเองจากวันเเรกจนถึงใกล้กลับบ้าน เราเจออะไร เราชอบอะไร ถ้ามีโอกาสกลับมาอีกเราจะไปเมืองไหน ชีวิตมีคำถามเต็มหัวไปหมด บางคำถามก็มีคำตอบ บางคำถามก็ยังคงหาคำตอบ


Hoam Kiem Lake
 

เมืองฮานอย


  
8.  Ha Long Bay

    ธรรมชาติที่นี่สวยมาก เราได้นั่งเรือชมอ่าว ได้กินอาหารทะเลพร้อมแหม่มชาวไอซ์แลนด์ที่พูดภาษอังกฤษสำเนียงฟังยาก เรามีความสุขกับการนั่งอยู่บนเรือให้ลมกระเเทกหน้า เเละชมวิวสุดลูกหูลูกตา วันนี้ท้อฟฟ้าปิด ไม่มีเมฆเพราะฝนเพิ่งตกไป แต่ยังไงก็ตามทุกๆขณะของการเดินทางตั้งเเต่วันเเรกจนถึงวันสุดท้ายเรามีความสุขกับมันทุกๆช่วงเวลา




อ่าวฮาลองเบย์





ถึงบ้านเเล้วมีคำถามหนึ่งขึ้นมาในหัวสำหรับการเดินทางครั้งนี้ว่า เราคิดถึงเวียดนาม หรือเราคิดถึงตัวตนของเราที่เวียดนาม ?


                                                                กาลครั้งหนึ่งที่เวียดนาม

                                                               การิม  ตุลา 58