กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ที่นี่อาจจะไม่ได้เป็นเมืองที่เป็น Dream destinations ของใครหลายๆคน สำหรับบางคนที่นี่เป็นเเค่เมืองทางผ่าน เเวะเยี่ยว แวะเข้าห้องน้ำ รอรถเพื่อมุ่งหน้าไปโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนามต่อไป เเต่ถ้าหากหาข้อมูลดีๆ เเล้วที่นี่เป็นเมืองที่น่าสนใจมากเมืองหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้
กรุงพนมเปญ เป็นอีกเมืองหนึ่งในโลกที่ฉันมีความฝันว่า ฉันอยากไปเยือนสักครั้งในชีวิต ที่นี่ไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเหมือนหลายๆเมืองในอาเซียน แต่ฉันมาที่นี่ เพราะที่นี่มีประวัติศาสตาร์การฆ่าล้างเผาพันธุ์ที่หดหู่ สยดสยองที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
Flight No. FD 606 วันที่ 21 ตุลา 2015 บินจากท่าอากาศยานดอนเมืองปลายทางสนามบินแห่งชาติกรุงพนมเปญ ในสมุดบันทึกของฉันเขียนความรู้สึกที่มีต่อเมืองเเห่งนี้ ก่อนที่ฉันจะไปว่า ที่นี่ก็คงเป็นเมืองหลวงเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีบ้านเรือนผู้คนเบาบาง ปะปราย ตึกสูงไม่เยอะเหมือนเมืองที่ฉันจากมา เเต่เมื่อเครื่องบินบินผ่านน่านฟ้าของกรุงพนมเปญ ฉันกลับพบว่าสิ่งที่ฉันคิดและเขียนลงไปในสมุดนั้น ฉันคิดผิด!! พนมเปญปัจจุบันเป็นเมืองที่ค่อนข้างวุ่นวายมาก บ้านเรือน ตึกสูง สถานที่ราชการ ธนาคารต่างชาติ โชว์รูมรถหรู มีให้เห็นเยอะเเยะเต็มไปหมด
บนเครื่องบินฉันได้นั่งติดกับนักธุรกิจชาวพนมเปญท่านหนึ่ง อายุราวๆสี่สิบ ใส่เเว่นดูท่าทางใจดี ภายนอกตอนแรกก็คิดว่าเป็นคนไทย ตลอดระยะเวลาชั่วโมงกว่าๆ ทั้งฉันเเละเขาก็ไม่ได้คุยอะไร ต่างคนต่างเงียบ
เวลาผ่านไป จนกัปตันบนเครื่องประกาศว่า ตอนนี้เราได้ถึงน่านฟ้าของกรุงพนมเปญเเล้ว อากาศข้างนอกเเจ่มใส ไม่มีฝน ทัศนวิสัยดี กัปตันใช้เวลาอีกสักพักบินวนรอบเมืองพนมเปญ ฉันได้แต่นั่งมองดูวิวไปเรื่อยเปื่อย จนคนข้างๆถามว่า...
เขา : ทำไมคุณถึงมาพนมเปญ? ทำไมไม่ไปเสียมเรียบ ที่นั้นมีอะไรให้ดูมากกว่าที่นี่เยอะเลย ??
ฉัน : *ยิ้มแห้งๆ* และตอบเขาไปว่า ฉันไปเสียมเรียบมาเเล้วแหละเมื่อปีที่เเล้ว ที่นั้นมันยิ่งใหญ่และสวยมากๆ เลยเนาะ ส่วนครั้งนี้ฉันตั้งใจจะมาเที่ยว Killing field กับ ตวง เเสลง :)
เขา : เขาทำหน้างงๆ เล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรต่อ พร้อมบอกกับฉันว่า มีอะไรติดต่อเขาได้เลยนะ บ้านเขาอยู่ในเมืองพนมเปญนี่เเหละ หากต้องการความช่วยเหลืออะไร ติดต่อมาได้เลย พร้อมหยิบปากกา เขียนเบอร์และที่อยู่ของเขาให้ฉัน และทิ้งท้ายว่า ที่นั้นมันหดหู่มากๆเลยนะ ผมไม่เเน่ใจว่าถ้าคุณไปที่นั้นเเล้ว คุณจะมีเเรงไปที่ไหนอีก เพราะคุณจะหมดเเรงและหัวของคุณจะหนักๆเหมือนโดนอะไรทุบ So, Welcome to Phanom Phen and hope to enjoy :)
เขาอวยพรและเราสองคนก็แยกย้ายกันไปตามทางของเเต่ละคน
บางครั้ง บางคน กับบางช่วงเวลา การพบกันเพียงครั้งเดียวมันก็อาจจะเพียงพอเเล้วกับที่จะจดจำไปชั่วชีวิต...
.............................................
หลังจากที่ลงเครื่องและจัดหาที่พักอะไรเสร็จเรียบร้อย จึงนัดเเนะกับทาง Hostel ให้จัดการหารถตุ๊กๆ ในวันรุ่งขึ้นเพื่อพาฉันไป Killing field และคุก ตวล แสลง....
ในหนังสือเเนะนำเที่ยวบอกว่าสองสถานที่นี้อยู่ไกลกันมาก คุณสามารถขับรถไปเองและหาตุ๊กๆท้องที่ไป แน่นอนฉันเลือกอย่างหลังเพราะฉันไม่อยากขับรถ อีกทั้งประกันการเดินทางของฉันไม่คลอบคลุมประเทศกัมพูชา --"
ก่อนหน้าฉันจะมาเที่ยวที่นี่ได้อาทิตย์หนึ่ง ฉันได้ทำการบ้านเเละอ่านหนังสือ 4 ปี นรกในเขมร ของสำนักพิมพ์ ผีเสื้อ เป็นหนังสือที่เขียนขึ้่นจากประสบการณ์จริง ที่บันทึกช่วงเวลาที่ทรมานตลอดสี่ปีในการเอาตัวรอดในเขมร การสูญเสียคนที่รัก การเห็นบ้านเมืองที่กลายเป็นนรกบนดิน ของยาสึโกะ นะอิโต ชาวญี่ปุ่นซึ่งไปได้สามีชาวเขมรผู้ซึ่งเคยเป็นฑูต ในหนังสือเราต้องใช้ความพยายยามในการจินตนาการอย่างสูงมากในการคิดตามเรื่องราวที่ผู้หญิงคนนี้เล่าให้ฟัง เพราะเราจะมีความรู้สึกค้านในใจตลอดเวลา ว่า เฮ้ยย... มันใช่เหรอ? มันทำอย่างนี้จริงๆเหรอ? เพราะเรื่องราวเหล่านั้นคือการกระทำที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันอย่างทารุณ จนเราคิดไม่ถึงเลยว่าสิ่งเหล่านั้นมันคือเรื่องจริง เคยเกิดขึ้นจริงๆ บนโลกใบนี้ และใกล้ประเทศไทยเเค่ปลายจมูก
โลกทุกวันนี้มีความโหดร้ายมากขึ้น การเจริญทางวัถตุมันไม่ได้เป็นตัวแปรเลยว่า ความเจริญทางจิตใจของมนุษย์มันจะมีมากขึ้นตาม มนุษย์ยังมีการแก่งเเย่งชิงดี ชิงเด่น จนทำให้มนุษย์มีจิตใจที่หยาบกระด้าง ชินชา ไม่มีใครนึกถึงศิลธรรมจรรยาที่มนุษย์ควรกระทำต่อมนุษย์ที่คิดต่าง จนมนุษย์ต้องมีประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ขึ้นมา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อต้องการให้เผ่าของตัวเองเหนือกว่าอีกเผ่าหนึ่งเเค่นั้นเฉกเช่นในอดีต
จากประวัติศาสตาร์การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ถ้าให้จัดอันดับความโหดร้ายเเล้ว ฉันไม่สามารถเอาอะไรมาวัดได้ว่าครั้งไหนรุ่นแรงที่สุด ทุกที่ล้วนมีคนล้มตาย เด็ก ผู้หญิง คนแก่ มีตายด้วยกันทุกที่ บนโลกมนุษย์ตั้งเเต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มากมายที่เกิดขึ้น อาทิ ในรวันดา แอฟริกา อินเดียนแดงในอเมริกา ชาวยิวในเยรมัน ล้วนโหดร้ายด้วยกันทั้งสิ้น
......................
เกร็ดความรู้ เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเขมร
ผลงานการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์มากกว่า 2 ล้าน 5 แสนศพ ( ไม่รวมผู้ที่สูญหาย ) ในกัมพูชา เกิดขึ้นในช่วง ค.ศ. 1975 - 1979 โดยน้ำมือของเขมรเเดง นี่คือประวัติศาสตร์ของความอัปยศเรื่องหนึ่งที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์
ว่ากันว่าจำนวนคนที่ล้มตายกว่า 3 ล้านศพ เมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากรของประเทศที่มีอยู่ 9 ล้านคนในสมัยนั้น นั้นหมายความว่ามีคนเขมรต้องตายถึงเกือบหนึ่งในสามของประชากรทั้งหมด และสิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคืด การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่นี่ คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เดียวกันเอง ซึ่งเเตกต่างจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในที่อื่นๆ นั้นจะเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน เพื่อให้เผ่าพันธุ์ของตัวเองดำรงอยู่เท่านั้น
ในส่วนผู้เป็นต้นเหตุของความอัปยศครั้งนี้ในระยะเเรกเริ่มนั้นมีเพียงสองคนเท่านั้นคือ พอล พต ( Plo Pot ) และเขียว สัมพัน ทั้งสองท่านล้วนเป็นนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงของประเทศทั้งคู่ เพื่อไปศึกษาต่อยังประเทศฝรั่งเศษ เพื่อให้กลับมาทำคุณกับแผ่นดิน หากแต่ทั้งสองกลับ สนองคุณ ประเทศด้วยวิธีสามานย์ และอัปยศ ด้วยการทำลายประเทศ ด้วยการนำเอาระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์สุดขั่วมาจู่โจมเล่นงานประเทศ กระทั้งประเทศเกิดความพินาศไปหมดในช่วงที่ทั้งสองครองประเทศอยู่
ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถหาอ่านได้ตามอินเทอร์เน็ต
ที่มา : หนังสือฆ่าโหด ล้างเผ่าพันธุ์
.......................................
ทุ่งสังหาร
ที่เเรกที่ฉันมาคืดทุ่งสังหาร ที่นี่อยู่ห่างออกไปจากเมืองพนมเปญ ราว 40 นาที วันนี้อากาศดีไม่ร้อนมาก การเดินชมทุ่งสังหารนั้น เพื่อความอินและรู้สึกร่วม ควรหาข้อมูล หรือจ้างไกด์ท้องถิ่นจะได้บรรยากาศที่เพิ่มขึ้น ( คนเขมรส่วนมากที่อยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวสามารถพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว ) แต่ถ้าอยากเดินดูคนเดียวที่นี่ก็มีหูฟัง มีให้เลือกฟังหลายภาษาหลักๆ ของโลก รวมทั้งภาษาไทย เเน่นอนฉันเลือกใช้หูฟัง เพราะมันถูกและฉันก็มาคนเดียว จริงๆก็เพื่อประหยัดเงิน
เมื่อได้หูฟังพร้อมตัวเล่น เจ้าหน้าที่จะมอบแผนที่ให้เรามาหนึ่งฉบับ ในเเผนที่จะมีประมาณ 15 จุด ( ทำแผนที่หาย เลยจำไม่ได้ว่ากี่จุด ) ทุกๆจุดก็ให้เราเดินตามพร้อมเปิดเทปฟัง ฟังไม่ทันก็ฟังวนได้ ฟังเสร็จก็ปล่อยความรู้สึกพร้อมจินตนาการไปพร้อมกับเหตุการณ์ในอดีต T T
ประตูทางเข้า Killing field |
บรรยากาศภายในทุ่งเเห่งนี้ ดูข้างนอกเหมือนจะครื้นเครงคนเยอะ เเต่เมื่อก้าวเข้ามา ที่นี่เหมือนโลกอีกโลกหนึ่งเลย เงียบมาก เงียบจนวังเวง ทั้งๆที่เป็นตอนกลางวันเเดดเปรี้ยง บรรยากาศมันมาคุๆ
เข้ามาที่นี่ฉันเดินได้สามจุด ฉันก็หาม้านั่งเเล้วนั่งดูคนเดินไป เดินมา หลายคนขอบตาเเดงก่ำ บางคนนั่งนิ่งไม่ขยับ ปล่อยความคิดไปกับเหตุการณ์ข้างหน้า ไม่มีใครหัวเราะ ไม่มีใครยิ้ม มันหดหู่เเละเศร้าไปหมด เศร้าจนไม่รู้จะบรรยายหรืออธิบายยังไง ในหัวมีเเต่คำว่า ทำไม ทำไม ทำไมเต็มไปหมด เรื่องเเบบนี้มันเคยเกิดขึ้นจริงๆเหรอ?
ตัวฉันเองก็รู้สึกหมดเเรง ไม่อยากเดินไปไหน อยากนั่งนิ่งๆตรงนั้น ลำพังเเค่จะยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปยังรู้สึกหมดเเรง ไม่อยากมีความทรงจำกับที่นี่ อยากให้มันเข้ามาและก็ลืมหายไปและคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ โลกที่มนุษย์สามารถขึ้นไปเยียบดวงจันทร์ โลกที่มนุษย์มีเทคโนโลยีทางการเเพทย์ที่เจริญ หรือจริงๆแล้วโลกของเรามันเจริญเเค่ทางวัตถุจริงๆ จิตใจของมนุษย์เราร้อยปี พันปีในถ้ำเเต่ก่อนเป็นเเบบไหน ตอนนี้เราก็ยังเป็นเเบบนั้น การฆ่าอีกฝ่ายที่เห็นต่างๆ มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกที่ไม่ว่าจะยุคไหนก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลารวมถึงยุคนี้ ตอนนี้
จริงๆ คนเขมรเองเขาคงไม่ได้อยากจะจดจำความทรงจำนี้เหมือนฉันแหละ เท่าที่ฉันพูดคุยกับคนที่พบเจอระหว่างเดินทาง หลายๆคนพร้อมลืม เพราะมันโหดร้าย บางคนเสียญาติพี่น้อง ที่ไม่มีโอกาสได้พบเจอกันอีกเลย บางบ้านถึงกับหายสาบสูญ
..........................
หลายคนพร้อมลืม
ประวัติศาสตร์ หากมันเจ็บปวดเกินไปที่จะจำ...
...........................
อนุสรณ์ที่รำลึกถึงชาวเขมรที่ถูกต้อนมาเพื่อฆ่าที่ทุ่งเเห่งนี้ |
ฉันใช้เวลาที่นี่ราวๆ สองชั่วโมงจนจุดสุดท้ายในแผนที่ พร้อมวนเทปไปฟังบทสัมภาษณ์ของผู้รอดชีวิตท่านหนึ่งที่รอดชีวิตจากสถานที่เเห่งนี้
เขาสอนเรื่องความหวัง จำคร่าวๆประมาณว่า
" ผมรอดชีวิตจากที่เเห่งนี้เพราะผมมีความหวัง
ความฝันของแม่ ความรักของเเม่ที่มอบให้ เป็นความหวังให้ผมรอดชีวิต
ความหวังทำให้เราอยากมีชีวิต อยู่เพื่อตัวเอง อยู่เพื่อเป็นความหวังของใครสักคน "
ปัจจุบันเขาได้ใช้ชีวิตที่สหรัฐฯ กับภรรยาและลูกๆ เขาทิ้งท้ายประโยคว่า " เเต่ละคนมีการจัดการกับชีวิตที่เข้ามาเเตกต่างกัน สำหรับเขาการเเก้เเค้นของความอัปยศครั้งนี้คือ การกลับมาลือกตั้ง !!! "
ภายในอนุสรณ์บรรจุหัวกะโหลกที่ค้นพบในทุ่งเเห่งนี้ |
ในตู้ที่สูงประมาณเจ็ดชั้น บรรจุกะโหลกของทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และกะโหลกเล็กๆที่เป็นของเด็ก อุปกรณ์ที่ใช้ในการฆ่า ทรมาน รวมทั้งเสื้อผ้าพร้อมคราบเลือดที่ติด ที่นี่เหมือนพิพิธภัณฑ์หัวกะโหลก มันมีมากจนรู้สึกว่ามันคือของปลอม
ฉันเดินออกมาจากที่นี่ตอนบ่ายโมงกว่าๆ เพื่อมุ่งหน้าไปสถานที่ๆสอง แปลกมากที่ฉันรู้สึกไม่หิว เพราะตอนนี้ฉันรู้สึกว่าฉันกินอะไรไม่ลงแล้ว T T
.......................................
คุก ตวล สแลง
สถานที่ๆ 2 หลังจากเยี่ยมชม Killing Filed ก็นั่งรถเข้าเมืองเพื่อไปคุก ตวล แสลง ถึงตอนนี้ในหัวฉันไม่รับอะไรเเล้ว กลิ่นเหม็นอับของเสื้อ ของกะโหลก ที่ทุ่งสังหารยังรู้สึกว่าตามหลอกหลอนฉันอยู่เลย ฉันบอกไกด์ไปว่า พาฉันไปคุกตลวเเสลง ข้าวเที่ยงฉันไม่กินหละ ฉันกินอะไรไม่ลง ฉันจะอ้วก มึนหัว
คนขับตุ๊กๆ ได้เเต่ยิ้มเเล้วพูดติดตลกว่า ทุกคนส่วนมากเป็นเเบบนี้ ตอนนี้ผมคิดว่าคุณคงอยากกลับไปนอนมากที่สุด พร้อมหัวเราะเเละขับรถพาฉันไปคุก ตวล แสลงตามหน้าที่ต่อไป...
คุกตวล แสลง ในข้อมูลเขียนไว้ว่าที่นี่เมื่อก่อนเคยเป็นโรงเรียน ดูจากภายนอกก็เหมือนตึกโรงเรียนทั่วๆไป เเต่เมื่อยุคเขมรเเดงเรือนอำนาจที่นี่กลายเป็นคุกที่ขังคนกัมพูชาด้วยกันเอง รวมทั้งเป็นที่ทรมานักโทษที่ไม่เเยกเพศ เเยกอายุที่นี่เคยมีคนตายมากมาย จนยากที่จะจินตนาการถึงตัวเลขความสูญเสียดังกล่าว
บรรยากาศข้างนอกครื้นเครงเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป เเต่พอก้าวเข้ามาบรรยากาศมันหวิวมากกกกกก วังเวง กลิ่นอับ คราบเลือดเเห้งๆ มันชวนขนลุกกว่า Killing filed มาก ทั้งๆที่เวลานั้นคนเข้าชมก็มีเยอะพอสมควร เเต่ข้างในมันน่ากลัว มันเเบ่งซอยเป็นห้องเล็กๆ บางห้องคือห้องปิดตาย ไม่มีทางออก เเละที่นี่ทุกตารางนิ้วบนพื้นเคยมีคนตายเป็นจำนวนมาก เเละเเน่นอนการเดินดูห้องต่างๆเพียงลำพังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีมากนัก ฉันจึงเดินตามนักท่องเที่ยวรายอื่นๆ ให้รู้สึกอุ่นใจมากขึ้น
ที่นี่เป็นการนำเอาภาพ เหตุการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้นมาจัดเเสดงเป็นห้องๆ โชว์เตียง โชว์อุปกรณ์ที่เคยทรมานนักโทษ ตอนนี้ฉันเริ่มจะไม่ไหว ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้นเเล้ว ที่นี่น้ำตาของคุณจะหลั่งออกมาเอง แม้คุณจะไม่รู้จักคนที่เสียชีวิต น้ำตาของคุณจะไหลด้วยเหตุผลมากมายเยอะเเยะ ความรู้สงสาร หดหู่ และชวนคิดเรื่องราวต่างๆนานา รวมทั้งมีคำถามมากมายที่อยากหาคำตอบว่า ทำไม ทำไม ทำไม ทำไมคนมันโหดร้ายแบบนี้ เขาไม่กลัวบาปเหรอ
สภาพห้องขัง ข้างในทั้งมืดและเหม็นอับ
|
อนุสรณ์เพื่อรำลึกให้กับผู้เสียชีวิต |
ฉันยังจำประโยคของนักธุรกิจชาวเขมรท่านนั้นเป็นอย่างดี เขาบอกฉันว่า คุณไปที่ไหนก่อนก็ได้ในพนมเปญ ตัวเลือกสุดท้ายก่อนที่คุณจะจากที่นี่ไป คุณค่อยไป Killing field และ ตวล แสลง เพราะถ้าคุณไปที่นี่เเล้ว คุณจะไม่มีอารมณ์ไปที่ไหนอีกเลยในพนมเปญ
ฉันพิสูจน์มาเเล้วว่า ประโยคนั้นเป็นเรื่องจริง !!!
ฉันมุ่งหน้ากลับที่พัก ปล่อยใจ ให้คิดอะไรเรื่อยเปื่อย พร้อมมีคำถามที่ถามตัวเองว่า ในฐานะที่เราได้รับรู้เหตุการณ์ที่โหดร้ายเเบบนี้มาเเล้ว เราจะยอมให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกได้เหรอ?
เวลาผ่านไปฉันกลับพบว่า ปัจจุบันมนุษย์ก็ยังคนฆ่ากัน เกลียดกัน เพียงเหตุผลง่ายๆที่ว่า ก็เขาไม่เหมือนฉัน
มนุษย์ไม่จำเป็นต้องจดจำอดีตที่โหดร้ายไปเสียทุกเรื่องหรอก ถ้ามันโหดร้ายกับตัวเองเกินไป เเต่มนุษย์เราอย่างน้อยก็ควรไม่เดินตามประวัติศาตาร์ที่มันผิด หรือที่มันมีบทเรียนที่เลวร้ายจากในอดีตแล้วหรือเปล่า
หรือมนุษย์เรานอกจากไม่ได้จดจำอดีตเเล้ว เรายังไม่เรียนรู้อะไรจากอดีตอีกต่างหาก
การิม 30/7/2016
บางช่วงบางตอนคัดจากความรู้สึกที่อยู่ในสมุดบันทึก Cambodia 22 Oct 2015